เมื่อเจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลก สิ่งแรกที่ร่างกายเขาต้องการ ไม่ใช่เพียงอ้อมกอดอบอุ่นจากแม่ แต่คือ “น้ำนมแม่” ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและภูมิคุ้มกันจากธรรมชาติ
รู้หรือไม่ว่า…น้ำนมแม่ไม่ใช่แค่แหล่งอาหาร แต่คือ วัคซีนหยดแรกของชีวิตลูก ที่ช่วยปกป้องเขาจากโรคร้าย และส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึง “คุณค่าที่ซ่อนอยู่ในน้ำนมแม่” ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนได้

🍼 นมแม่…มากกว่าที่คิด
• ในน้ำนมแม่มี สารอาหารมากกว่า 200 ชนิด
• มี ภูมิคุ้มกันสูง ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ร่างกายของลูก
• เปรียบเสมือน วัคซีนธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกันโรคในช่วงที่ภูมิคุ้มกันของทารกยังไม่สมบูรณ์

💛 “โคลอสตรัม” หัวน้ำนมทองคำใน 7 วันแรก
น้ำนมเหลือง หรือ โคลอสตรัม คือหัวน้ำนมที่แม่จะผลิตในช่วง 1 – 7 วันหลังคลอด อุดมไปด้วย
• คาร์โบไฮเดรต
• โปรตีน
• เกลือแร่
• วิตามิน

🌟 ประโยชน์ของการกินนมแม่
1. ป้องกันการติดเชื้อทางเดินอาหาร
ลดความเสี่ยงท้องเสียหรืออุจจาระร่วงในเด็กเล็ก
2. ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ
เช่น หวัด ปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ
3. ลดโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้
นมแม่ย่อยง่ายและปรับสภาพร่างกายลูกได้ดี
4. ส่งเสริมพัฒนาการสมอง
มีไขมันและสารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของระบบประสาท

🌍 ข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
ลูกกินนมแม่อย่างเดียว ในช่วง 6 เดือนแรก (โดยไม่ให้น้ำหรืออาหารเสริมอื่น)
และควร ให้นมแม่ต่อเนื่อง จนลูกอายุ อย่างน้อย 2 ปี พร้อมอาหารตามวัยเพื่อการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์

น้ำนมแม่ไม่ใช่แค่ของเหลวธรรมดา แต่คือ “ของขวัญล้ำค่า” จากแม่สู่ลูก ที่มอบทั้งสารอาหาร ภูมิคุ้มกัน และความรักให้ลูกได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
เริ่มต้นชีวิตลูกอย่างมั่นใจ…ด้วยน้ำนมแม่ตั้งแต่วันแรก 💝

การเลือกวิธีคลอดลูกน้อยเป็นหนึ่งในการตัดสินใจสำคัญของว่าที่คุณแม่ หลายคนอาจกังวลและยังไม่แน่ใจว่า “คลอดธรรมชาติ” ดีอย่างไร หรือจะเหมาะกับตัวเองหรือไม่?
ในบทความนี้ เรารวบรวม 6 ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ ที่ช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวไว ดูแลลูกได้เร็ว และส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พร้อมคำแนะนำสำคัญในการตัดสินใจเลือกวิธีคลอดที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละคน

💡 6 ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ
1. พักโรงพยาบาลน้อย – ฟื้นตัวไวกว่า
คุณแม่ที่คลอดธรรมชาติมักใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่า และสามารถกลับบ้านได้เร็ว
2. ได้สัมผัสลูกทันทีหลังคลอด
เมื่อคลอดทางช่องคลอด แม่จะสามารถอุ้มลูกได้ทันที เสริมสร้างความผูกพันตั้งแต่แรกเกิด
3. ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ช่วยให้การเริ่มให้นมแม่ทำได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรก
4. ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด
ไม่ต้องเจ็บแผลผ่าตัด และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การตกเลือดหรือการติดเชื้อ
5. ฟื้นตัวเร็ว – เคลื่อนไหวสะดวก
หลังคลอดไม่นาน ร่างกายจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และสามารถขยับร่างกายได้คล่องตัวกว่า
6. ลดความเสี่ยงในครรภ์ต่อไป
การคลอดธรรมชาติลดโอกาสเกิดภาวะที่อาจเกิดในครรภ์ถัดไป เช่น มดลูกแตก รกเกาะต่ำ หรือรกเกาะแน่น

🩺 คลอดธรรมชาติ…ใช่หรือไม่ ต้องปรึกษาแพทย์
แม้ว่าการคลอดธรรมชาติจะมีข้อดีมากมาย แต่การเลือกวิธีคลอดควรขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสุขภาพคุณแม่และทารกในครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อประเมินความเสี่ยงและแนะนำวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับแม่และลูก
คลอดธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องของการเจ็บน้อยหรือเจ็บมาก แต่คือการเลือกวิธีที่ปลอดภัย ฟื้นตัวไว และส่งเสริมความผูกพันระหว่างแม่ลูกตั้งแต่วินาทีแรกของชีวิต
อย่าลืมว่า…ทุกการตัดสินใจควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์นะคะ เพื่อให้คุณแม่มั่นใจและคลอดลูกอย่างปลอดภัยที่สุด 🤱✨

👶 การตั้งครรภ์ควรเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข แต่รู้ไหมว่า…ไม่ใช่ทุกครรภ์จะปลอดภัยเสมอไป คุณแม่บางคนอาจมี “ภาวะเสี่ยง” ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์
ข่าวดีคือ — เราสามารถเช็กภาวะเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเข้ารับการดูแลอย่างเหมาะสม วันนี้เราขอพาคุณแม่ทุกคนมาดูว่าอะไรบ้างที่จัดว่าเป็น ครรภ์ภาวะเสี่ยง และจะดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัย

🩺 ครรภ์ภาวะเสี่ยง เช็กได้ไม่ยากเลย

1. อายุของคุณแม่
• ตั้งครรภ์ขณะอายุน้อยกว่า 17 ปี หรือมากกว่า 35 ปี → เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์และการคลอด
2. ประวัติการตั้งครรภ์ผิดปกติ
หากคุณแม่เคยมีประวัติด้านล่างนี้ อาจเข้าข่ายครรภ์เสี่ยง
• เคยแท้งเองมากกว่า 3 ครั้ง
• เคยมีทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือเสียชีวิตหลังคลอด
• เคยมีทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม หรือมากกว่า 4,000 กรัม
• เคยมีภาวะครรภ์เป็นพิษ (สังเกตจากอาการ เช่น บวม ความดันสูง ปวดศีรษะ จุกแน่นใต้ชายโครง ฯลฯ)
• มีประวัติท้องแฝด รกเกาะต่ำ รกเสื่อม หรือภาวะน้ำคร่ำน้อย
3. มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพ
บางโรคอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตั้งครรภ์ เช่น
• ความดันโลหิตสูง
• เบาหวาน
• หอบหืด
• โรคหัวใจ
• โรคตับหรือโรคไต
• โรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ เริม ซิฟิลิส
4. พฤติกรรมเสี่ยงของคุณแม่
• ดื่มแอลกอฮอล์
• ใช้ยาเสพติดหรือสารเสพติดอื่น ๆ
พฤติกรรมเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติของทารก และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด

“ครรภ์เสี่ยงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเราเริ่มต้นดูแลตัวเองให้ถูกต้อง”

เพียงคุณแม่รู้ทัน เช็กให้ไว และฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ พร้อมเข้ารับการดูแลอย่างใกล้ชิดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เท่านี้ก็ช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสให้ลูกน้อยคลอดออกมาอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์ได้ 💕

ด้วยรักและห่วงใย…ให้ทุกครรภ์คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่แข็งแรง

เมื่อรู้ว่ากำลังจะเป็นแม่… แล้วต้องเริ่มยังไงดี?
สำหรับคุณแม่มือใหม่ การเริ่มต้นฝากครรภ์อาจดูน่าตื่นเต้นและชวนงงไปพร้อมกัน บางคนไม่รู้จะเตรียมอะไร ไปโรงพยาบาลแล้วจะเจอขั้นตอนแบบไหน วันนี้เรามี เช็กลิสต์สำคัญ และ ขั้นตอนฝากครรภ์แบบเข้าใจง่าย มาฝากกัน เพื่อให้คุณแม่อุ่นใจและเริ่มดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธีตั้งแต่วันแรกที่รู้ผล 💗

📝 สิ่งที่คุณแม่ต้องเตรียมก่อนฝากครรภ์
1. บัตรประชาชน – ใช้ยืนยันตัวตน
2. ประวัติสุขภาพ – โรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา หรือการเจ็บป่วยสำคัญ
3. ข้อมูลประจำเดือนครั้งสุดท้าย – ใช้ประเมินอายุครรภ์เบื้องต้น
4. สิทธิการรักษา – ตรวจสอบสิทธิประกันสุขภาพ/ประกันสังคม/สิทธิบัตรทองว่าครอบคลุมการฝากครรภ์และคลอดหรือไม่

✅ เช็กลิสต์ขั้นตอนการฝากครรภ์
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาฝากครรภ์ตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. พบแพทย์เพื่อลงประวัติ
o ซักประวัติส่วนตัว สุขภาพ และประวัติการตั้งครรภ์เดิม (ถ้ามี)
2. ตรวจร่างกายเบื้องต้น
o วัดความดัน ตรวจน้ำตาลและโปรตีนในปัสสาวะ
3. ตรวจครรภ์
o ตรวจขนาดมดลูก เปรียบเทียบกับอายุครรภ์
4. ฟังเสียงหัวใจทารก/อัลตราซาวด์
o ขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ แพทย์จะประเมินความเหมาะสม
5. รับสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก
o เป็นคู่มือสำคัญที่ใช้ตลอดการตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอด
6. รับยาบำรุงครรภ์และวัคซีนที่จำเป็น
o เช่น กรดโฟลิก วัคซีนป้องกันบาดทะยัก เป็นต้น

การฝากครรภ์ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เตรียมข้อมูลให้พร้อม ตอบคำถามหมอให้ละเอียด และตรวจร่างกายตามขั้นตอน ก็ช่วยให้การดูแลครรภ์เป็นไปอย่างปลอดภัย สำหรับคุณแม่ทุกคน อย่ารอช้า! รีบฝากครรภ์ตั้งแต่รู้ผล เพื่อให้คุณแม่และลูกน้อยได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดตั้งแต่เริ่มต้น

“ด้วยรักและห่วงใย ฝากครรภ์เร็ว ลูกปลอดภัย แม่แข็งแรง” 💕

สาระน่ารู้กับ FUN FACT HIV ✨

.

😮 สองคำนี้คล้ายกัน แต่ใช้ไม่เหมือนกัน!
PrEP vs PEP ยาต้านไวรัส HIV ใช้ต่างกันยังไง❓
รู้ก่อน = ป้องกันทัน

.

💊 PrEP คือ ยาต้านก่อนเสี่ยง ใช้ป้องกันการติดเชื้อ HIV ก่อนที่จะ มีความเสี่ยง เช่น

❗️มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ทราบผลเลือด

❗️มีคู่นอนเป็น ผู้ที่มีเชื้อ HIV

❗️เปลี่ยนคู่นอนบ่อย

❗️ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

ต้องกินยาทุกวัน วันละ 1 เม็ด ให้ตรงเวลา ระยะเวลาการใช้ยาและการหยุดยาขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจของแพทย์

.

💊 PEP คือ ยาต้านหลังเสี่ยง หรือยาต้านฉุกเฉิน ใช้ป้องกันการติดเชื้อ HIV หลังจาก ที่ได้รับความเสี่ยงมาเเล้ว เช่น

❗️ถุงยางอนามัยแตก

❗️ถูกข่มขืน

❗️มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน

❗️สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่ง จากผู้ติดเชื้อ HIV

❗️บุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกมีดบาด

ต้องกินยาหลังจากมีความเสี่ยงได้รับเชื้อ HIV ให้เร็วที่สุดหรือภายใน 72 ชม. และต้อง กินยาจนครบ 28 วัน

.

ยาทั้ง 2 ชนิด ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้

.

เงื่อนไขในการได้รับยา PrEP หรือ PEP

– ก่อนรับยา ผลตรวจ HIV ต้องเป็นลบ

– หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรต้องแจ้งแพทย์ เพื่อเลือกสูตรยาให้เหมาะสม

– กินยาสม่ำเสมอห้ามหยุดยาเอง

– ก่อนรับยา ต้องตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี การทำงานของตับและไต

– ระหว่างกินยาต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

– หลังใช้ยาต้องมาตรวจเลือดตามที่แพทย์นัดหมาย

.

สรุปท้าย:
✅ PrEP: กิน “ก่อน” เสี่ยง ป้องกันไว้ล่วงหน้า
✅ PEP: กิน “หลัง” เสี่ยง ภายใน 72 ชม. ยังทัน
เข้าใจให้ชัด ใช้ให้ถูก ปลอดภัยกว่าเยอะ!

.

สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ ขอสนับสนุนความเท่าเทียม ทั้งด้านบริการการรักษา กฎหมาย การเข้าถึงเทคโนโลยี และการอยู่ร่วมกันในสังคม

.

#ปรึกษารับคำแนะนำเกี่ยวกับเอชไอวีได้ที่ Facebook Fanpage @FUN FACT HIV

#ปรึกษาการคุมกำเนิดได้ที่คลินิกเวชกรรม สวท ทั้ง 9 แห่ง โทร 02-941-2320 ต่อ 181-182และ #แพทย์ทางไกล 085-585-9580 หรือ 095-661-6551

.

#สมาคมวางแผนครอบครัว #สวท #วางแผนครอบครัว  #โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ #ถุงยางอนามัย #ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ #เอชไอวี #เอดส์ #HIVไม่ใช่เรื่องไกลตัว #รู้จริงไม่ตัดสิน #เข้าใจHIV